
เราอาจทราบกันดีว่าปัญหาฝ้าและกระ มักมีสาเหตุหลักมาจากการสัมผัสแสงแดด แต่ก็พบว่าหลายคนถึงแม้จะไม่ค่อยโดนแสงแดดโดยตรง หรือทำงานในอาคารเป็นส่วนใหญ่ (เช่น Work from Home) ก็ยังคงประสบปัญหาฝ้า กระได้ บทความนี้จึงจะพาไปหาคำตอบว่า แท้จริงแล้วสาเหตุการเกิดฝ้า กระ นั้น ไม่ได้มีเพียงแค่แสงแดด แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่างที่เราอาจมองข้ามไป
เมลานิน (Melanin) คืออะไร?
เมลานินเป็นเม็ดสีตามธรรมชาติที่สร้างจากเซลล์ผิวหนังชื่อ เมลาโนไซต์ (Melanocyte) พบได้ในมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทำหน้าที่กำหนดสีผิว สีผม และสีขน เมลานินมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลแดงไปจนถึงสีดำ การที่ผิวมีสีเข้มหรือสว่างขึ้นอยู่กับปริมาณและชนิดของเมลานินที่ผลิตออกมา หากผลิตมากผิวจะดูคล้ำขึ้น หากผลิตน้อยผิวจะดูสว่างขึ้น
เมลานิน (Melanin) เกี่ยวข้องอะไรกับปัญหาฝ้า กระ?
เมลานินทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ในแสงแดด เมื่อผิวสัมผัสรังสี UV เซลล์เมลาโนไซต์จะผลิตเมลานินเพิ่มขึ้นเพื่อดูดซับรังสีและป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวถูกทำลาย แต่หากการผลิตเมลานินมากผิดปกติ หรือมีการกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ จะทำให้เกิดเป็นจุดสีน้ำตาล หรือปื้นสีเข้มขึ้นบนใบหน้า กลายเป็นปัญหาฝ้าและกระนั่นเอง
โดยเฉพาะรังสี UVA (ความยาวคลื่น 320-400 นาโนเมตร) ซึ่งทะลุผ่านชั้นผิวได้ลึก และรังสี UVB (ความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตร) ที่ทำให้ผิวไหม้แดด ล้วนเป็นตัวกระตุ้นสำคัญให้เกิดการสร้างเมลานินเพิ่มขึ้นเมื่อสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน
เจาะลึก รังสี UV คืออะไร? ทำไมมีส่วนสำคัญทำให้เกิดฝ้า กระ?
รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet Radiation: UV) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มาพร้อมแสงอาทิตย์ มีความยาวคลื่นในช่วง 100-400 นาโนเมตร ซึ่งสั้นกว่าช่วงแสงที่ตามนุษย์มองเห็น (Visible Light) แบ่งเป็น 3 ชนิด
- รังสี UVA มีความยาวคลื่นยาวที่สุด (320-400 nm) พบในแสงแดดปริมาณมาก ทะลุผ่านเมฆและกระจกได้ ลึกลงถึงชั้นหนังแท้ ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้เกิดริ้วรอย ผิวคล้ำเสีย จุดด่างดำ ฝ้า กระ และเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง
- รังสี UVB มีความยาวคลื่นสั้นกว่า (290-320 nm) ถูกดูดซับโดยเมฆและกระจกได้บางส่วน ทะลุถึงแค่ชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ส่วนบน เป็นสาเหตุหลักของผิวไหม้แดด (Sunburn) แสบร้อน และกระตุ้นการสร้างเมลานินเช่นกัน
- รังสี UVC มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด (100-290 nm) มีพลังงานสูงและอันตรายที่สุด แต่โดยธรรมชาติจะถูกชั้นโอโซนในบรรยากาศดูดซับไว้เกือบทั้งหมด จึงไม่ส่องมาถึงพื้นโลก
ดังนั้น รังสี UVA และ UVB คือรังสีหลักที่เราต้องเผชิญในชีวิตประจำวันและเป็นสาเหตุสำคัญของฝ้า กระ
แม้ไม่ได้ตากแดดโดยตรง แต่เรายังสามารถได้รับรังสี UV ได้จาก
- Indirect UV รังสี UV สามารถสะท้อนจากพื้นผิวต่างๆ เช่น ก้อนเมฆ, อาคาร, พื้นถนน, ผิวน้ำ มากระทบผิวเราได้ แม้ในวันที่ฟ้าครึ้ม หรืออยู่ในที่ร่มแต่ยังมองเห็นท้องฟ้า ก็ยังมีความเสี่ยงได้รับรังสี UV
- การทะลุผ่านกระจก รังสี UVA สามารถทะลุผ่านกระจกหน้าต่างได้ การนั่งทำงานริมหน้าต่าง หรืออยู่ในอาคารที่มีกระจกใส ก็ยังสัมผัสกับ UVA ได้
หน้าเป็นฝ้า กระ ทั้งที่แทบไม่ได้ออกไปไหน เพราะอะไร?
นอกจากรังสี UV จากแสงแดด (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่กระตุ้นการเกิดฝ้า กระได้ แม้จะอยู่ในอาคารเป็นส่วนใหญ่
- แสงสีฟ้าจากหน้าจอ (Blue Light) หรือ High Energy Visible Light (HEVL) เป็นแสงที่มองเห็นได้ มีความยาวคลื่นประมาณ 400-500 นาโนเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับ UVA แหล่งกำเนิดมีทั้งจากธรรมชาติ (ดวงอาทิตย์) และจากอุปกรณ์ที่เราใช้เป็นประจำ เช่น สมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต, โทรทัศน์
- ทำไมแสงสีฟ้าถึงทำให้เกิดฝ้า กระ? มีงานวิจัยชี้ว่าการสัมผัสแสงสีฟ้าเป็นเวลานาน สามารถทะลุเข้าสู่ผิวหนังได้ลึก และอาจกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน รวมถึงกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำ และฝ้าได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวเข้ม หรือมีแนวโน้มเป็นฝ้าง่ายอยู่แล้ว - หลอดไฟบางชนิด หลอดไฟบางประเภท โดยเฉพาะหลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือหลอดไฟที่ให้ความร้อนสูง อาจปล่อยรังสี UVA ออกมาในปริมาณเล็กน้อย หรือปล่อยความร้อน ซึ่งความร้อนก็เป็นอีกปัจจัยที่สามารถกระตุ้นการสร้างเมลานินได้เช่นกัน การสัมผัสเป็นประจำ แม้ปริมาณรังสีจะไม่เท่าแสงแดด แต่ก็อาจเป็นปัจจัยเสริมได้ ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า “ไม่เจอแสงแดด ไม่ต้องทาครีมกันแดด” จึงไม่ถูกต้องนัก เพราะเรายังเผชิญกับแสงสีฟ้าและความร้อนจากหลอดไฟได้ตลอดวัน การทาครีมกันแดดที่ปกป้องได้ทั้ง UVA, UVB และอาจรวมถึง Blue Light จึงยังคงจำเป็น
ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เป็นฝ้า กระ นอกเหนือจากแสง
- พันธุกรรม หากพ่อแม่หรือคนในครอบครัวมีประวัติเป็นฝ้า กระ ก็มีแนวโน้มที่เราจะเป็นได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในคนเอเชีย และกระบางชนิดอาจพบได้ตั้งแต่เด็ก ฝ้าหรือกระที่เกิดจากพันธุกรรมมักกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายแม้รักษาจนจางลงแล้ว
-
ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน) มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ มักพบใน
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ (เรียกว่า Chloasma หรือ "หน้ากากแห่งการตั้งครรภ์")
- ผู้ที่ทานยาคุมกำเนิด หรือรับฮอร์โมนทดแทน
- ผู้ที่มีภาวะเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน อาจจางลงได้เองหลังคลอด หรือเมื่อหยุดยาคุม หรือเมื่อระดับฮอร์โมนกลับสู่สมดุล - ยาบางชนิด ยาหลายชนิดทำให้ผิวไวต่อแสง (Photosensitivity) มากขึ้น ทำให้เกิดฝ้า กระ หรือจุดด่างดำได้ง่ายเมื่อสัมผัสแสง แม้เพียงเล็กน้อย ตัวอย่างยา เช่น ยากันชักบางชนิด, ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม (Tetracyclines, Sulfonamides), ยาขับปัสสาวะ, ยารักษาความดันบางชนิด, NSAIDs, เรตินอยด์ (ยากลุ่มวิตามินเอ), ยาต้านอาการทางจิตบางชนิด, ยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า เป็นต้น
-
เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
- สารประกอบบางชนิดในเครื่องสำอาง เช่น น้ำหอม, แอลกอฮอล์, สี อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ และตามมาด้วยรอยดำหรือกระตุ้นฝ้าได้ในบางคน
- ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีสารอันตราย เช่น ปรอท, สเตียรอยด์, ไฮโดรควิโนน (ในความเข้มข้นที่ไม่เหมาะสมและไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์) ซึ่งมักอวดอ้างว่าทำให้หน้าขาวใสเร็ว อาจทำลายผิวในระยะยาว ทำให้ผิวบางลง แพ้ง่าย ไวต่อแสง และเกิดฝ้าถาวร หรือรอยดำผิดปกติได้ เมื่อหยุดใช้อาจมีอาการเห่อ หรือเห็นเส้นเลือดฝอยชัดเจนขึ้น - ความเครียด เมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งนอกจากส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมแล้ว ยังสามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินให้เพิ่มมากขึ้นได้ ทำให้ฝ้าดูเข้มขึ้นหรือเกิดใหม่ได้
ปกป้องผิวจากปัญหาฝ้า กระ ด้วยวิธีไหนได้บ้าง?
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ สำคัญที่สุด! เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 หรือสูงกว่า และมี PA++++ เพื่อปกป้องผิวจากทั้งรังสี UVA และ UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกแดด หรือทำงานในอาคาร (อาจเลือกชนิดที่ป้องกัน Blue Light ได้ด้วย) ควรทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 15-30 นาที และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงหากอยู่กลางแจ้งหรือเหงื่อออกมาก
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 - 16.00 น. หากต้องออกแดด ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น สวมหมวกปีกกว้าง, แว่นกันแดด, เสื้อแขนยาว หรือกางร่ม
- ดูแลสุขภาพผิวให้แข็งแรง ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว เน้นการให้ความชุ่มชื้นและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว อาจปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยลดเลือนจุดด่างดำ หรือพิจารณาหัตถการที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- พิจารณาเรื่องยาและฮอร์โมน หากสงสัยว่ายาที่ใช้อยู่ หรือการคุมกำเนิด อาจเป็นสาเหตุของฝ้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนยาหรือวิธีการคุมกำเนิด (ห้ามหยุดยาเอง)
- พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ลดการใช้หน้าจอก่อนนอน
- จัดการความเครียด หากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกาย, ฟังเพลง, ทำสมาธิ หรือพักผ่อนหย่อนใจ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้หลากสี ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง (เช่น วิตามินซี, วิตามินอี) และดื่มน้ำให้เพียงพอ
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางหรือครีมบำรุงที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีส่วนผสมที่อาจก่อการระคายเคือง ระวังผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงว่าขาวเร็วขาวไว
รักษาฝ้า กระ ที่ไหนดี?
ปัญหาฝ้า กระ อาจรักษาให้หายขาดได้ยาก โดยเฉพาะฝ้าลึกหรือฝ้าจากพันธุกรรม แต่สามารถทำให้จางลงและควบคุมไม่ให้เข้มขึ้นได้ ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน มีหัตถการหลายอย่างที่ช่วยรักษาได้ เช่น
- Pico Laser เลเซอร์ที่นิยมมากในการรักษาเม็ดสี สามารถทำลายเม็ดสีได้อย่างจำเพาะเจาะจง และกระตุ้นคอลลาเจน
- Q-Switched Laser เลเซอร์อีกชนิดที่ใช้รักษาเม็ดสีได้ดี
- หัตถการอื่นๆ เช่น การฉีดเมโสฝ้า (Mesotherapy), การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว หรือการใช้ยาทาภายใต้การดูแลของแพทย์
การเลือกวิธีรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินชนิดของฝ้า กระ และสภาพผิว เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและได้ผลดีที่สุด
หากไม่มั่นใจว่าจะเลือกคลินิกไหน ให้ เดอควีนส์ คลินิก ช่วยดูแลได้ค่ะ เรามีบริการด้านความงามที่หลากหลาย รวมถึงโปรแกรมการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Pico Laser ทีมแพทย์ของเรามีประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด
สำหรับใครที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และส่งภาพให้แพทย์ประเมินเบื้องต้นได้ที่ Line: @dequeensclinic หมอตอบเอง หรือสามารถเข้ารับบริการ Walk-in ได้ที่ เดอควีนส์ คลินิก ทั้ง 2 สาขา ได้แก่ คลินิกความงามชลบุรี และคลินิกความงามเพชรบุรี