
หลายคนอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับกรณีฉีดโบท็อกซ์แล้วไม่เห็นผล หรือที่เรียกว่า "ดื้อโบท็อกซ์" กันมาบ้างแล้ว อาการนี้คืออะไร เกิดจากอะไร มีอันตรายหรือไม่ และสามารถป้องกันหรือแก้ไขได้หรือเปล่า ในบทความนี้คุณหมออยากแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับอาการดื้อโบท็อกซ์ เพื่อให้คนไข้เข้าใจมากขึ้น และสามารถเข้ารับการฉีดโบท็อกซ์ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และสบายใจ
ดื้อโบท็อกซ์ คืออะไร
อาการดื้อโบท็อกซ์ คือภาวะที่เมื่อฉีดโบท็อกซ์ไปแล้ว ไม่เกิดผลตามที่คาดหวัง หรือเห็นผลน้อยกว่าปกติ โดยปกติโบท็อกซ์ที่แพทย์ด้านความงามใช้ จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อที่ก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า และสามารถปรับลดขนาดกล้ามเนื้อกรามเพื่อให้หน้าเรียวขึ้นได้ แต่เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปแล้วร่างกายกลับเกิดภาวะดื้อยา ตัวยาจึงไม่ออกฤทธิ์ ริ้วรอยไม่จางลง และการทำงานของกล้ามเนื้อยังคงเดิม ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดของคนไข้ที่มีภาวะดื้อโบท็อกซ์คือไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง กรามไม่ลด หน้าไม่เรียว และอาจทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
ลักษณะอาการดื้อโบท็อกซ์
อาการดื้อโบท็อกซ์สามารถสังเกตได้เป็น 3 ระดับหลัก
- ระดับที่ 1 จากเดิมที่เคยฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณเท่าเดิมแล้วลดริ้วรอยได้ดี แต่เมื่อเริ่มมีภาวะดื้อโบท็อกซ์ ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเหมือนก่อน
- ระดับที่ 2 ต้องใช้ปริมาณโบท็อกซ์มากขึ้นกว่าปกติ เพื่อให้เห็นผลในการลดริ้วรอยเหมือนเดิม
- ระดับที่ 3 แม้เพิ่มปริมาณโบท็อกซ์มากขึ้นแล้ว ก็ยังไม่เห็นผลลัพธ์ ทั้งในการลดริ้วรอยหรือปรับรูปหน้าเลย
สาเหตุของอาการดื้อโบท็อกซ์
โบท็อกซ์เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง เมื่อฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อ ร่างกายอาจมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมและกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกัน (Antibody) ขึ้นมาต่อต้านได้ หากใช้อย่างไม่เหมาะสม หรือเป็นโบท็อกซ์ที่ไม่มีคุณภาพ ก็มีโอกาสเกิดภาวะดื้อโบท็อกซ์
สาเหตุหลักสามารถแบ่งออกเป็น 4 ข้อ ดังนี้
1. ฉีดโบท็อกซ์ปลอม หรือโบท็อกซ์หิ้วที่ไม่มีคุณภาพ
พบได้บ่อยจากการลักลอบนำเข้าโบท็อกซ์โดยไม่ได้รับการควบคุมคุณภาพ ตัวยาอาจเสื่อมสภาพ ปนเปื้อน และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ง่าย ทำให้ผลลัพธ์ลดลงจนไม่เห็นผล
ข้อควรรู้ โบท็อกซ์แท้ต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 2–8°C อย่างเคร่งครัด หากเก็บไม่ถูกต้องจะเสื่อมคุณภาพทันที โบท็อกซ์หิ้วและโบท็อกซ์ปลอมมักเก็บรักษาไม่เหมาะสม จึงมีคุณภาพต่ำและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดื้อโบท็อกซ์
2. ฉีดโบท็อกซ์บ่อยเกินไป
การฉีดในระยะเวลาที่ถี่เกินไปจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น ทำให้การฉีดครั้งต่อไปไม่เห็นผลหรือเห็นผลน้อยลง
คำแนะนำ ควรเว้นระยะการฉีดอย่างน้อย 3 เดือน และไม่ควรเว้นนานเกิน 5–6 เดือน เพื่อให้กล้ามเนื้อได้กลับมาทำงานบ้างและลดโอกาสการดื้อยา
3. ฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณมากเกินไป
โดยทั่วไปไม่ควรฉีดเกิน 300 ยูนิตต่อครั้ง (สำหรับการเสริมความงาม) การฉีดในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นไม่ได้ช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น แต่กลับทำให้ตัวยาสะสมในร่างกายและกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน ทำให้ดื้อโบท็อกซ์ในที่สุด
4. ปัจจัยจากร่างกายของคนไข้
พบว่าบางคนอาจมีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านโบทูลินั่มท็อกซินได้ง่ายกว่าปกติ ซึ่งสาเหตุนี้เกิดเฉพาะบุคคล และไม่สามารถป้องกันหรือเปลี่ยนแปลงได้
อาการดื้อโบท็อกซ์สามารถแก้ไขได้หรือไม่
ปัจจุบัน อาการดื้อโบท็อกซ์ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ต้องรอให้ร่างกายค่อยๆ ลดการสร้างภูมิคุ้มกันลงไปเอง แม้จะเปลี่ยนยี่ห้อโบท็อกซ์ก็ยังอาจเกิดอาการดื้อได้เช่นเดิม เพราะโดยส่วนมาก ถ้าเกิดดื้อแล้ว มักจะดื้อต่อโบท็อกซ์ทุกยี่ห้อ
ระยะเวลาที่ภูมิคุ้มกันอาจลดลงและอาจกลับมาฉีดโบท็อกซ์ได้อีกครั้ง คือประมาณ 3–5 ปี แต่ในบางกรณีอาจนานถึง 10–20 ปี ในระหว่างนี้ การใช้โบท็อกซ์เพื่อดูแลริ้วรอยอาจไม่ได้ผล
ข้อควรระวังสำคัญ
หลายคนไม่ทราบว่าตัวเองดื้อโบท็อกซ์ และเมื่อฉีดแล้วไม่เห็นผล กลับคิดว่าเป็นปัญหาจากยี่ห้อโบท็อกซ์หรือฝีมือแพทย์ จึงเปลี่ยนคลินิกหรือเปลี่ยนหมอหลายครั้ง โดยไม่ได้แจ้งประวัติการฉีดก่อนหน้า ซึ่งอาจทำให้ได้รับการฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณมากเกินความจำเป็น และยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อยามากขึ้น
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดอาการดื้อโบท็อกซ์
การป้องกันการเกิดอาการดื้อโบท็อกซ์ ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะเมื่อรู้สาเหตุแล้วก็จะสามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างเหมาะสม
-
เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
ต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลที่ถูกต้อง และดำเนินงานโดยแพทย์เท่านั้น หลีกเลี่ยงคลินิกที่ให้บริการโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ หรือหมอกระเป๋า -
ตรวจสอบแพทย์ผู้ฉีด
แพทย์ควรมีประสบการณ์ด้านความงาม สามารถตรวจสอบชื่อและนามสกุลของแพทย์ได้ที่เว็บไซต์ของแพทยสภา (tmc.or.th) เพื่อยืนยันว่าเป็นแพทย์จริง -
ใช้โบท็อกซ์แท้เท่านั้น
โบท็อกซ์แท้ที่นำเข้าโดยตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จะจัดจำหน่ายให้เฉพาะแพทย์หรือสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น หากฉีดโดยหมอกระเป๋า ส่วนใหญ่จะเป็นยาหิ้วหรือยาปลอม ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอาการดื้อโบท็อกซ์สูงมาก -
ศึกษาวิธีดูโบท็อกซ์แท้
ตรวจสอบหลายองค์ประกอบ เช่น บริษัทผู้นำเข้า เลขทะเบียน อย. เลข Lot และสติกเกอร์รับรอง การรู้วิธีเช็กเบื้องต้นช่วยให้คนไข้มั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น
ดังนั้น หากคุณต้องการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดเลือนริ้วรอย หรือปรับรูปหน้าให้เรียวสวยอย่างเห็นผล ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือเลือกฉีดโบท็อกซ์แท้ กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านความงาม ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น
สำหรับใครที่สนใจฉีดโบท็อกซ์ ลดริ้วรอย ลดขนาดกราม หรือปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนสวย สามารถส่งภาพให้แพทย์ประเมินเบื้องต้นได้ที่ Line: @dequeensclinic (หมอตอบเอง) หรือ Walk in เข้ารับบริการที่ เดอควีนส์ คลินิก สาขาชลบุรี และสาขาเพชรบุรี เพราะใบหน้าเป็นหน้าต่างสำคัญของเรา เราจึงอยากใส่ใจดูแลคุณให้ปลอดภัยและสวยอย่างเป็นธรรมชาติ