
ปวดขา ชาเท้า เป็นตะคริวบ่อย อย่าชะล่าใจ เพราะอาการเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นสัญญาณเตือนที่กำลังบ่งบอกว่า “เลือดไปเลี้ยงขาไม่พอ” เป็นอาการที่ควรใส่ใจ เพราะร่างกายมนุษย์นั้นขับเคลื่อนด้วยระบบหมุนเวียนเลือดที่นำออกซิเจนและสารอาหารไปยังอวัยวะต่างๆ หากเลือดไหลเวียนไม่ปกติ อวัยวะเหล่านี้อาจได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลต่อสุขภาพอย่างรุนแรง และในกรณีร้ายแรง อาจทำให้เนื้อเยื่อตายจนต้องสูญเสียแขนหรือขา
บทความนี้จึงอยากชวนทุกคน ตระหนักถึงปัญหาเลือดไปเลี้ยงขาไม่พอ พร้อมคำแนะนำในการดูแลตัวเอง ป้องกันภาวะนี้ และวิธีรับมือกับอาการ เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจขึ้น
อาการเลือดไปเลี้ยงขาไม่พอ เกิดจากอะไร
อาการเลือดไปเลี้ยงขาไม่เพียงพอ อาจเกิดได้จาก 2 สาเหตุหลัก คือ
-
ภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Arterial Disease: PAD)
ภาวะนี้เกิดจากการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง เนื่องจากมีการสะสมของไขมันหรือหินปูนบริเวณผนังหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดตีบแคบหรือเกิดการอุดตัน ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงขาได้ไม่สะดวก -
ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (Deep Vein Thrombosis: DVT)
เกิดจากการไหลเวียนของเลือดที่ช้าลง จนเกิดการก่อตัวของลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ ส่งผลให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนกลับหัวใจได้ตามปกติ ทำให้เลือดคั่งค้างที่ขา
ทั้งสองภาวะนี้ล้วนส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดที่ขา ซึ่งหากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย ชา หรือเป็นตะคริวได้ง่าย และในบางรายอาจพัฒนาไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากขึ้น
สาเหตุหลักของภาวะเลือดไปเลี้ยงขาไม่พอ
ภาวะเลือดไปเลี้ยงขาไม่เพียงพอ มักเกิดจากความผิดปกติของระบบหลอดเลือดทั้งหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ โดยมีสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ
1. ภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (PAD)
เกิดจากการที่หลอดเลือดแดงซึ่งทำหน้าที่นำเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายเกิดการตีบหรืออุดตัน โดยมีสาเหตุหลักดังนี้
- ผนังหลอดเลือดแข็งตัว เกิดจากการสะสมของไขมันหรือหินปูนบริเวณผนังหลอดเลือด ทำให้รูหลอดเลือดตีบแคบ เลือดไหลผ่านได้ยาก
- ลิ่มเลือดอุดตัน ลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในร่างกายอาจหลุดลอยไปอุดตันที่หลอดเลือดแดงส่วนปลาย
2. ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (DVT)
เกิดจากการที่เลือดไหลเวียนช้าหรือคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำจนเกิดลิ่มเลือดอุดตัน โดยมีปัจจัยกระตุ้นได้แก่
- ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ทำให้เลือดไม่สามารถไหลกลับสู่หัวใจได้ ส่งผลให้เลือดคั่งอยู่บริเวณขา
- การเคลื่อนไหวร่างกายน้อย เช่น การยืนนาน นั่งเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางไกลหรือขึ้นเครื่องบิน หรือผู้ป่วยที่ต้องนอนติดเตียง ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ช้าลง
ปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงขาไม่พอ
ภาวะเลือดไปเลี้ยงขาไม่เพียงพอ มักเกิดจากการเสื่อมหรือการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ส่งผลให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ได้แก่
- การสูบบุหรี่ สารนิโคตินและคาร์บอนมอนอกไซด์ในบุหรี่ทำลายผนังหลอดเลือดโดยตรง
- โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานจะทำลายผนังหลอดเลือด
- โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) ความดันเลือดสูงจะเพิ่มแรงดันภายในหลอดเลือด
- ภาวะไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) ไขมันที่สะสมในผนังหลอดเลือดจะก่อให้เกิดคราบพลัค (Plaque)
- โรคอ้วน (Obesity) น้ำหนักเกินทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
- อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หลอดเลือดจะสูญเสียความยืดหยุ่น
- กรรมพันธุ์ หากมีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (PAD)
- การอักเสบหรือติดเชื้อในหลอดเลือด
- การบาดเจ็บที่หลอดเลือด
สัญญาณเตือน ที่กำลังบอกว่า “เลือดไปเลี้ยงขาไม่พอ”
หากคุณเริ่มมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณของภาวะเลือดไปเลี้ยงขาไม่เพียงพอ ควรรีบสังเกตและปรึกษาแพทย์
- ปวดขาหรือน่องเวลาเดินหรือออกกำลังกาย มักเกิดอาการปวด หนัก หรือเกร็งกล้ามเนื้อขา และจะทุเลาเมื่อได้พัก
- กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- เท้าเย็นหรือรู้สึกชา บางรายอาจมีอาการเหมือนถูกเข็มทิ่ม หรือปลายเท้าซีด
- ผิวหนังซีดหรือคล้ำลง ผิวบริเวณขาหรือเท้าอาจมีสีซีดหรือคล้ำลง
- แผลหายช้า แผลเล็กๆ ที่เท้าหรือนิ้วเท้าอาจใช้เวลานานกว่าจะหาย หรือกลายเป็นแผลเรื้อรัง
- ขาหรือน่องบวม มักเกิดขึ้นเพียงข้างใดข้างหนึ่ง
- ปวดขาแม้ขณะพัก หากหลอดเลือดตีบตันมากขึ้น อาจมีอาการปวดขาหรือเท้าขณะพัก
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือคลำชีพจรที่ข้อเท้าไม่ได้
- เกิดแผลที่เท้าโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
อาการเลือดไปเลี้ยงขาไม่พอ ส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง
ภาวะเลือดไปเลี้ยงขาไม่เพียงพอ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เข้ารับการรักษา อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและคุณภาพชีวิตได้หลายด้าน
- ปวดขา ชา หรือเป็นตะคริวบ่อย
มักเกิดขึ้นเวลายืน เดิน หรือออกกำลังกาย และอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน - แผลหายช้า หรือกลายเป็นแผลเรื้อรัง
การที่เลือดไหลเวียนไม่ดี ทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ หากปล่อยไว้ อาจลุกลามและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ - ผิวหนังแห้ง ลอก เป็นขุย หรือมีขนร่วงบริเวณขา
เนื้อเยื่อที่ขาดเลือดไปเลี้ยงจะทำให้ผิวเปลี่ยนแปลง เช่น แห้งหรือหมองคล้ำ - กล้ามเนื้อขาอ่อนแรง หรือเป็นตะคริวง่าย
เนื่องจากกล้ามเนื้อไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ จึงทำให้การเคลื่อนไหวไม่คล่องตัว - ปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศในเพศชาย
การไหลเวียนเลือดที่ผิดปกติอาจส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศ - เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
หากไม่ได้รับการรักษา อาจพัฒนาไปสู่ภาวะ “ขาขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute Limb Ischemia)” ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน และในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่ “การตัดขา (Amputation)” ได้
ป้องกันเลือดไปเลี้ยงขาไม่พอได้อย่างไร
หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และไลฟ์สไตล์อย่างเหมาะสม ก็สามารถป้องกันอาการเลือดไปเลี้ยงขาไม่พอได้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลือกกิจกรรมที่แรงกระแทกต่ำ เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน
- พักขาโดยยกขาสูง ขณะนั่งหรือนอนพัก ลองยกขาสูงประมาณ 45 องศา
- ปรับเปลี่ยนท่าทางระหว่างวัน หลีกเลี่ยงการยืนนิ่งหรือนั่งในท่าเดิมนานๆ
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงเสื้อผ้ารัดรูป โดยเฉพาะบริเวณเอว ขาหนีบ และต้นขา
- ใส่ถุงน่องทางการแพทย์ หากต้องยืนนาน การสวมถุงน่องช่วยพยุงที่มีแรงบีบเหมาะสม จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
อาการเลือดไปเลี้ยงขาไม่พอ รักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง
การรักษาอาการเลือดไปเลี้ยงขาไม่พอ มีหลายวิธี โดยแต่ละวิธีจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะและการวินิจฉัยของแพทย์
- รักษาด้วยยา แพทย์อาจสั่งจ่ายยาเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelet) ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolytic) ยาควบคุมความดันโลหิต และยาลดคอเลสเตอรอล
- การรักษาผ่านหลอดเลือด (Endovascular Treatment) โดยสามารถทำได้ 2 วิธี ได้แก่ ใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดที่ตีบ และใส่ขดลวดเพื่อคงสภาพหลอดเลือดให้เปิดอยู่
- การผ่าตัด (Surgical Treatment) โดยการสร้างทางเบี่ยงหลอดเลือดใหม่เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
- การรักษาแผล หากมีแผลเรื้อรัง แพทย์อาจแนะนำการรักษาเพิ่มเติม เช่น การบำบัดด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy) และการทำความสะอาดแผล
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจบ่งบอกถึงภาวะเลือดไปเลี้ยงขาไม่เพียงพอ หรือหลอดเลือดส่วนปลายตีบตันได้
- ปวดขาหรือเท้าอย่างเฉียบพลัน มีอาการปวดรุนแรงตลอดเวลา แม้ขณะพัก
- รู้สึกชา ปลายเท้าอ่อนแรง หรือขยับเท้าไม่สะดวก
- ผิวหนังบริเวณขาหรือเท้าเย็นและซีดผิดปกติ
- สีผิวเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หรือแตกต่างจากขาอีกข้าง
- มีแผลที่ขาไม่หาย หรือมีอาการผิดปกติของผิวหนัง
สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น อายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นเบาหวาน สูบบุหรี่ หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ ควรไปตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ
ทำไมต้องใช้ถุงน่องเส้นเลือดขอด

ถุงน่องทางการแพทย์ อีกหนึ่งตัวช่วยการไหลเวียนเลือดที่ดี
ภาวะเลือดไปเลี้ยงขาไม่เพียงพอ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการยืน นั่ง หรือเดินนานๆ ที่เราเองอาจไม่ได้ใส่ใจ เพราะพฤติกรรมเหล่านี้เปรียบเสมือนกิจวัตรประจำวันที่มีอยู่ในหลายอาชีพ ทำให้เราหลีกเลี่ยงได้ยาก ด้วยเหตุนี้ การนำอุปกรณ์การแพทย์เข้ามาช่วยเหลือ จะเป็นการป้องกันการเกิดปัญหาเลือดไปเลี้ยงขาไม่เพียงพอ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (PAD) หรือภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (DVT) ที่เป็นอันตรายได้
การสวมถุงน่องทางการแพทย์ หรือถุงน่องเส้นเลือดขอด ที่มีแรงบีบรัดแตกต่างกันตามความเหมาะสม จะช่วยปั๊มเส้นเลือดจากขาให้เลือดไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้ดีขึ้น ป้องกันเส้นเลือดขอด และลดความเสี่ยงเลือดคั่งบริเวณขา
เหมาะกับผู้ที่มีอาชีพเสี่ยง เช่น พยาบาล แพทย์ เซลล์ พนักงานขาย พ่อค้า แม่ค้า หรือผู้ที่ต้องยืนหรือแม้แต่นั่งนานๆ ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
หากสนใจถุงน่องทางการแพทย์ สามารถปรึกษาผู้ชำนาญการเพื่อเลือกระดับแรงบีบรัดที่เหมาะสมในแต่ละบุคคลได้ที่ @dequeensclinic พบปัญหาเส้นเลือดขอด ปรึกษาแพทย์ฟรี Walk in ได้ทั้ง 2 สาขา ได้แก่ สาขาชลบุรี และสาขาเพชรบุรี