
ปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำบนใบหน้า เป็นเรื่องที่หลายคนกังวลใจ เพราะทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ หน้าดูหมองคล้ำและขาดความมั่นใจ ในบทความนี้ หมอจะมาอธิบายถึงสาเหตุการเกิดฝ้า และประเภทของฝ้าที่ควรรู้ รวมถึงวิธีการรักษาฝ้าที่ให้ผลลัพธ์ดี และการเลือกคลินิกรักษาฝ้าที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับการป้องกันการเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำเพื่อให้ทุกคนสามารถดูแลผิวพรรณได้อย่างมั่นใจ
ฝ้าคืออะไร
ฝ้าเป็นภาวะที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์เมลาโนไซต์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่สร้างเม็ดสีผิวใต้ชั้นผิวหนัง เมื่อเซลล์เหล่านี้ผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป จะทำให้บริเวณผิวที่ได้รับผลกระทบเกิดเป็นแถบหรือปื้นสีเข้ม เช่น สีน้ำตาลหรือน้ำตาลคล้ำ โดยมักพบได้บริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม จมูก ขมับ และเหนือริมฝีปาก
ฝ้าจะแตกต่างจาก "กระ" ตรงที่กระมักมีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อนๆ กระจายอยู่ตามใบหน้า และไม่เป็นแถบหรือปื้นแบบฝ้า
สาเหตุของฝ้ามีอะไรบ้าง
ฝ้ามีหลายลักษณะ ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 6 ประเภทหลักๆ
- ฝ้าตื้น อยู่ที่ผิวชั้นบนสุด (หนังกำพร้า) ลักษณะจะเป็นปื้นสีเข้ม น้ำตาลหรือดำ ขอบชัด มักตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
- ฝ้าลึก เกิดในชั้นหนังแท้ซึ่งอยู่ลึกกว่าหนังกำพร้า สีมักจะดูหม่นคล้ำ เช่น สีเทา น้ำเงิน หรือม่วง ขอบไม่ค่อยชัด และมักรักษาได้ยากกว่า
- ฝ้าผสม เป็นฝ้าที่มีทั้งส่วนตื้นและลึกผสมกัน ซึ่งพบได้บ่อยในคนไข้ ต้องใช้วิธีรักษาหลายทางร่วมกัน
- ฝ้าจากผิวคล้ำมาก (Unclassified Melasma) พบในคนที่มีผิวเข้มมาก เช่น ชาวแอฟริกัน ซึ่งไม่สามารถแยกชั้นของฝ้าได้ชัดเจนแม้จะใช้เครื่องมือตรวจเฉพาะทาง
- ฝ้าแดด เกิดจากการสะสมรังสี UV ทั้งจากแสงแดดและแสงสีฟ้า (Blue Light) จากหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลคล้ำ หรือเทาอมม่วง
- ฝ้าเลือด มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนและระบบไหลเวียนเลือด ลักษณะคือผิวจะไวต่อแสงหรือความร้อนมาก เมื่อออกแดดจะเกิดรอยแดงร่วมกับฝ้าชัดเจนขึ้น
ฝ้า กระ และจุดด่างดำ อันตรายหรือไม่
แม้ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำจะไม่ใช่โรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายโดยตรง แต่สำหรับหลายๆ คน ปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อความมั่นใจและบุคลิกภาพได้มาก หลายคนจึงพยายามหาวิธีรักษาด้วยตนเอง เช่น ใช้ครีมที่หาซื้อง่ายทางออนไลน์ ซึ่งบางชนิดไม่มีการรับรองจาก อย. และอาจมีสารต้องห้ามที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวในระยะยาว
โดยเฉพาะครีมที่ผสมสารสเตียรอยด์ แม้ในช่วงแรกจะเห็นผลลัพธ์ที่ดูน่าพอใจ เช่น ผิวดูขาวใสขึ้น ฝ้าจางลง แต่การใช้ต่อเนื่องอาจทำให้ผิวบางลง ระคายเคืองง่าย เกิดผื่นแพ้ ผิวไวต่อแสงแดด และที่สำคัญ ฝ้ากลับมาเข้มขึ้นกว่าเดิม หรืออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพผิวที่รุนแรง รวมถึงมะเร็งผิวหนังได้ในระยะยาว
ดังนั้น แม้ฝ้าและกระจะไม่อันตรายโดยตรง แต่การรักษาที่ไม่ถูกวิธีหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีมาตรฐาน อาจทำให้ผิวเสียมากกว่าที่คิด หมอแนะนำให้เลือกวิธีที่ปลอดภัย และเหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน
วิธีรักษาฝ้าแบบไหนได้ผลดี
การรักษาฝ้ามีให้เลือกหลากหลาย ทั้งในรูปแบบของการแพทย์แผนปัจจุบันและวิธีธรรมชาติ โดยแต่ละวิธีจะให้ผลลัพธ์และระยะเวลาในการเห็นผลแตกต่างกันออกไป และต้องเข้าใจก่อนว่า “ฝ้าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในทันที” แต่เราสามารถควบคุมให้ฝ้าจางลงและไม่ลุกลามได้
10 วิธีที่หมอมักใช้หรือแนะนำในการรักษาฝ้า
- ฉีดเมโสฝ้า (Mesotherapy) การฉีดวิตามินและตัวยาเฉพาะจุดลงสู่ผิว ช่วยลดการสร้างเม็ดสีและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
- เลเซอร์ (Laser Treatment) เลือกชนิดเลเซอร์ที่เหมาะกับฝ้า เช่น Q-Switched หรือ Picosecond ซึ่งช่วยทำลายเม็ดสีโดยไม่ทำลายผิวรอบข้าง
- การรักษาด้วย IPL (Intense Pulsed Light) ใช้คลื่นแสงความเข้มสูงช่วยลดรอยฝ้า กระ และปรับสีผิวให้กระจ่างใส
- ไอออนโต (Ionto Treatment) เป็นการผลักวิตามินเข้าสู่ผิวด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ช่วยให้ผิวรับสารบำรุงได้ลึกขึ้น
- โฟโน (Phonophoresis) คล้ายกับไอออนโต แต่ใช้คลื่นเสียงแทนการใช้ไฟฟ้า เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
- กรอผิวด้วยคริสตัล (Microdermabrasion) ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำออก เพื่อเผยผิวใหม่ที่เรียบเนียนมากขึ้น
- ทาครีมที่มีตัวยารักษาฝ้า เช่น กรดวิตามิน A กรดโคจิก อาร์บูติน หรือสารที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสี (ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์)
- มาสก์หน้าด้วยหัวไชเท้า สมุนไพรพื้นบ้านที่มีสารช่วยยับยั้งเม็ดสีเมลานิน ทำให้ฝ้าดูจางลง (ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้)
- มาสก์หน้าด้วยใบบัวบก มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ และช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง (ควรเลือกแหล่งที่สะอาด)
- มาสก์หน้าด้วยมะขามเปียก กรดธรรมชาติในมะขามช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดความหมองคล้ำได้ (ไม่ควรทำบ่อยเกินไป)
อย่างไรก็ตาม ก่อนเลือกวิธีรักษา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวิเคราะห์สภาพผิวและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อความปลอดภัยและได้ผลดี
- เมโสฝ้า ฉีดลดฝ้า กระ และรอยดำโดยตรง เมโสฝ้าคือหัตถการที่ช่วยชะลอการลุกลามของฝ้าและรอยด่างดำ โดยแพทย์จะฉีดวิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนเข้าสู่ผิวชั้นกลาง ตัวยามีคุณสมบัติยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี และช่วยฟื้นฟูคอลลาเจนในผิว ส่งผลให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น รอยฝ้า กระ จุดด่างดำอาจดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด และอาจเห็นผลเร็วกว่าใช้ครีมเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน
- เลเซอร์รักษาฝ้า การทำเลเซอร์จะใช้พลังงานแสงเข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินโดยตรง พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวให้ผิวผลัดตัวเร็วขึ้น มีหลากหลายประเภท เช่น Pico Laser Dual Yellow หรือ Q-Switch ที่เหมาะกับสภาพผิวต่างกัน ผลลัพธ์จะเห็นชัดขึ้นเมื่อทำต่อเนื่อง แต่หลังทำควรหลีกเลี่ยงแดดและดูแลผิวอย่างดี เพราะอาจเกิดอาการผิวลอก แสบ แดง หรือไวต่อแสงชั่วคราว
- IPL หรือแสงความเข้มสูงรักษาฝ้า IPL ทำงานคล้ายเลเซอร์ แต่ใช้พลังงานต่ำกว่า โดยจะยิงแสงลงลึกถึงชั้นผิวเพื่อทำลายเมลานิน และช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น ฝ้าดูจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ควรทำกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะการตั้งค่าคลื่นแสงไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น สีผิวเข้มขึ้นหรือไหม้แดดได้
- ไอออนโตโฟเรซิส (Iontophoresis) วิธีนี้จะใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ช่วยผลักวิตามินเข้าสู่ชั้นผิว กระตุ้นให้รูขุมขนเปิดและดูดซึมสารบำรุงได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้าในระดับต้นๆ ผลลัพธ์คือผิวดูกระจ่างใสขึ้น ฝ้าดูลดลง แต่หากทำบ่อยเกินไปอาจทำให้ผิวบางและระคายเคืองง่ายในระยะยาวได้
- โฟโนโฟเรซิส (Phonophoresis) ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อส่งผ่านวิตามินเข้าสู่ผิว กระตุ้นการไหลเวียนเลือดและลดการทำงานของเม็ดสีที่มากเกินไป วิธีนี้ช่วยลดฝ้าอย่างอ่อนโยน และให้ผลดีหากทำร่วมกับการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะหากใช้ความถี่ไม่เหมาะสม อาจกระทบต่อเซลล์ผิวได้
- การกรอผิวด้วยผงคริสตัล หรือที่เรียกว่า Microdermabrasion เป็นการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนด้วยการพ่นผงแร่ละเอียด ช่วยให้ผิวเรียบเนียน รอยฝ้าตื้นๆ ดูจางลง แต่ไม่เหมาะกับฝ้าที่ลึกหรือฝ้าเรื้อรัง ควรทำควบคู่กับการป้องกันแสงแดดและการบำรุงผิวต่อเนื่อง
- ครีมรักษาฝ้าจากสารสกัดธรรมชาติ ครีมที่มีส่วนผสมจากกรดผลไม้ วิตามินซี อาร์บูติน หรือสารจากรากชะเอมเทศ สามารถช่วยลดการผลิตเม็ดสี และกระตุ้นให้เซลล์ผิวผลัดตัวอย่างอ่อนโยน ต้องใช้เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ และต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานเพื่อความปลอดภัย
- มาสก์หัวไชเท้า หัวไชเท้ามีสารธรรมชาติที่ช่วยลดการสร้างเมลานิน และผลัดเซลล์ผิวได้ดี แต่มีฤทธิ์แรง อาจทำให้ผิวระคายเคืองหากมาสก์ไว้นานเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง วิธีนี้จึงไม่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
- มาสก์ใบบัวบก ใบบัวบกมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมคอลลาเจน ฟื้นฟูผิว และลดเลือนรอยฝ้าอย่างอ่อนโยน หากใช้ใบบัวบกสดที่สะอาดแล้วคั้นเอาน้ำมาเช็ดหน้าเป็นประจำ จะช่วยปรับสภาพผิวได้ดี แต่ต้องมั่นใจในความสะอาดเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งสกปรกตกค้าง
- มาสก์มะขามเปียก กรด AHA ธรรมชาติจากมะขามเปียกช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก ลดเลือนฝ้าและจุดด่างดำได้ แต่ไม่ควรมาสก์เกินสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะอาจทำให้ผิวบางและไวต่อแสงแดดได้
เปรียบเทียบวิธีการรักษาฝ้า กระ และจุดด่างดำ
วิธีการรักษา | หลักการทำงาน | เหมาะสำหรับ | จุดเด่น / ข้อดี | ข้อควรระวัง / ผลข้างเคียง |
---|---|---|---|---|
กลุ่มหัตถการทางการแพทย์ (ทำโดยผู้เชี่ยวชาญ) | ||||
เมโสฝ้า (Mesotherapy) | ฉีดวิตามินและตัวยาเข้าสู่ผิวชั้นกลาง เพื่อยับยั้งการสร้างเม็ดสีโดยตรง | ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร็วกว่าทาครีม และชะลอการลุกลามของฝ้า | เห็นผลค่อนข้างเร็ว ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นและฟื้นฟูคอลลาเจน | ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล |
เลเซอร์ (Laser) | ใช้พลังงานแสงความเข้มข้นสูงทำลายเม็ดสีเมลานิน และกระตุ้นการผลัดผิว | ฝ้าหลายระดับ (ขึ้นอยู่กับชนิดเลเซอร์ เช่น Pico, Q-Switch) | เห็นผลชัดเจนเมื่อทำต่อเนื่อง กำจัดเม็ดสีได้ตรงจุด | อาจเกิดอาการผิวลอก แสบ แดง และไวต่อแสง ต้องเลี่ยงแดดอย่างเคร่งครัด |
IPL (แสงความเข้มสูง) | ใช้คลื่นแสงพลังงานต่ำกว่าเลเซอร์ ทำลายเม็ดสีและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ | ฝ้า กระ และรอยดำที่ไม่ลึกมาก | ช่วยให้ผิวโดยรวมกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ | หากตั้งค่าพลังงานไม่เหมาะสม อาจทำให้ผิวไหม้หรือสีเข้มขึ้นได้ |
ไอออนโต (Iontophoresis) | ใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ผลักวิตามินและสารบำรุงเข้าสู่ผิวได้ลึกขึ้น | ฝ้าในระดับเริ่มต้น หรือผู้ที่ต้องการการบำรุงผิว | อ่อนโยน ช่วยให้ผิวดูดซึมสารบำรุงได้ดี | หากทำบ่อยเกินไป อาจทำให้ผิวบางและระคายเคืองง่าย |
โฟโน (Phonophoresis) | ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงผลักวิตามินเข้าสู่ผิว กระตุ้นการไหลเวียนเลือด | ผิวแพ้ง่าย หรือผู้ที่กังวลเรื่องการใช้กระแสไฟฟ้า | อ่อนโยนมาก ช่วยลดฝ้าและกระตุ้นการไหลเวียนเลือด | ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อตั้งค่าความถี่ให้เหมาะสม |
กรอผิว (Microdermabrasion) | ใช้ผงคริสตัลละเอียดขัดผิว เพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นบนที่ตายแล้วออก | ฝ้าชนิดตื้น หรือผิวหมองคล้ำไม่เรียบเนียน | ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นทันทีหลังทำ | ไม่เหมาะกับฝ้าลึกหรือฝ้าเรื้อรัง อาจทำให้ผิวระคายเคือง |
กลุ่มการดูแลด้วยตัวเอง / สมุนไพร | ||||
ครีมรักษาฝ้า | ใช้สารสกัดต่างๆ เช่น กรดผลไม้, อาร์บูติน, วิตามินซี เพื่อยับยั้งการสร้างเม็ดสี | ฝ้าทุกระดับ (ใช้เป็นการรักษาหลักหรือควบคู่กับวิธีอื่น) | สะดวก ทำได้เองที่บ้าน มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลาย | เห็นผลช้า ต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ และต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน |
มาสก์หัวไชเท้า | สารธรรมชาติในหัวไชเท้าช่วยยับยั้งเม็ดสีและผลัดเซลล์ผิว | ผู้ที่ต้องการวิธีธรรมชาติและมีผิวแข็งแรง | เป็นวิธีธรรมชาติที่หาได้ง่าย | มีฤทธิ์แรง อาจระคายเคืองผิวได้ง่าย ไม่เหมาะกับผิวบอบบาง |
มาสก์ใบบัวบก | สารต้านอนุมูลอิสระช่วยฟื้นฟูผิว ลดการอักเสบ และเสริมสร้างคอลลาเจน | ทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวที่ต้องการการฟื้นฟู | อ่อนโยนต่อผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น | ต้องมั่นใจในความสะอาดของวัตถุดิบเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ |
มาสก์มะขามเปียก | กรด AHA จากธรรมชาติช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำออก | ผู้ที่มีปัญหาฝ้าตื้นและจุดด่างดำ | ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ดี ทำให้ผิวดูสว่างใสขึ้น | อาจทำให้ผิวบางและไวต่อแสงแดด ไม่ควรทำบ่อยเกินไป (ไม่เกิน 1 ครั้ง/สัปดาห์) |
การเลือกคลินิกรักษาฝ้าอย่างปลอดภัย
เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานทางการแพทย์
- มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย และแสดงชื่อคลินิกพร้อมเลขที่ใบอนุญาต 11 หลักอย่างชัดเจน
- มีทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ และมีใบประกอบวิชาชีพถูกต้อง
- ใช้ผลิตภัณฑ์และเครื่องมือที่ได้รับการรับรอง และสามารถตรวจสอบแหล่งนำเข้าได้
- บรรยากาศสะอาด ปลอดเชื้อ ห้องหัตถการกว้างขวาง ไม่อับทึบ
- มีรีวิวจากผู้รับบริการจริง จากแหล่งที่เชื่อถือได้
- มีระบบติดตามผลการรักษา และให้คำแนะนำหลังทำอย่างต่อเนื่อง
วิธีดูแลตัวเองเพื่อป้องกันฝ้า กระ และจุดด่างดำ
หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรง แสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าและกระ หากต้องทำกิจกรรมนอกบ้าน แนะนำให้สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด หรือพกร่มติดตัว เพื่อช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV
- ทาครีมกันแดดทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เลือกใช้กันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ และทาให้เพียงพอ โดยปริมาณที่แนะนำคือประมาณ 1–2 เหรียญสิบบาท หรือประมาณ 2 ข้อนิ้ว เพื่อให้ครอบคลุมทั่วทั้งใบหน้า ปกป้องผิวจากทั้งแสงแดดและแสงสีฟ้าจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- เน้นรับประทานอาหารที่ดีต่อผิว การกินผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบอร์รี มะเขือเทศ และแอปเปิล จะช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว ป้องกันการเกิดฝ้าและกระที่มักเกิดจากรังสียูวีและมลภาวะได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น และอาจช่วยลดการทำงานของเม็ดสีเมลานิน ทำให้ฝ้า กระ ดูจางลง
- หลีกเลี่ยงยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมน (หากเป็นไปได้และปรึกษาแพทย์แล้ว) ฝ้าที่เกิดจากการรับประทานยาคุม หรือเกิดระหว่างตั้งครรภ์ หากหยุดยาหรือหลังคลอด ฝ้าจะค่อยๆ จางไปเอง
รักษาฝ้า ด้วยเมโสที่ De Queens Clinic ดีอย่างไร
การรักษาฝ้า กระ และจุดด่างดำที่ De Queens Clinic เราเน้นการดูแลแบบเฉพาะบุคคล โดยก่อนเริ่มการรักษา คุณหมอจะทำการประเมินสภาพผิวหน้าอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาและเลือกโปรแกรมที่เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละท่านอย่างตรงจุด
เมโสฝ้า (Meso หน้าใส) ที่เราเลือกใช้ คือ มาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen) ซึ่งเป็นตัวยาที่ได้รับความนิยมสูงในวงการแพทย์ผิวหนัง ช่วยเรื่อง
- ลดสิว ลดผื่น
- ลดการอักเสบใต้ผิว
- ปรับสมดุลผิวให้แข็งแรง
- ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและสว่างกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
นอกจากนี้ De Queens Clinic ยังมีโปรแกรมรักษาฝ้าแบบครบวงจร สำหรับผู้ที่มีฝ้าฝังลึกหรือมีหลายปัญหาร่วมกัน เช่น
- Melasma Clear โปรแกรมดูแลฝ้าแบบลึกถึงชั้นผิว ด้วยตัวยาที่ช่วยลดเม็ดสี และฟื้นฟูผิวอย่างอ่อนโยน
- Meso สะกิดหน้าใส ช่วยผลักวิตามินบำรุงเข้าสู่ผิวอย่างล้ำลึก ลดจุดด่างดำ และรอยฝ้าให้จางลง
- Spectra Q-Switch Laser (USA) และ Pico Laser เลเซอร์คุณภาพสูง ช่วยลดเม็ดสีเมลานินที่เป็นต้นเหตุของฝ้า กระ และจุดด่างดำ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวหน้าให้เรียบเนียนและกระจ่างใสยิ่งขึ้น
การรักษาฝ้า ไม่ว่าจะเป็นวิธีทางธรรมชาติหรือวิธีทางการแพทย์ ล้วนมีเป้าหมายเพื่อช่วยลดการทำงานของเซลล์เม็ดสีเมลานินที่มากเกินไป รวมถึงช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าและขจัดเม็ดสีที่สะสมอยู่ใต้ผิว แม้ว่าฝ้าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดถาวรได้ แต่สามารถทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น ฝ้าจางลงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ผลลัพธ์ของการรักษาจะขึ้นอยู่กับประเภทของฝ้า ความสม่ำเสมอในการรับการรักษา และการดูแลตัวเองควบคู่กันไป
ที่ De Queens Clinic เราให้บริการรักษาฝ้าโดยเน้นความปลอดภัย ให้ผลลัพธ์ที่ดี และออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล โดยแพทย์จะประเมินสภาพผิวและชนิดของฝ้าอย่างละเอียด ก่อนเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเมโสหน้าใสสูตรฝ้าเฉพาะทาง โปรแกรม Melasma Clear ที่ช่วยลดเม็ดสีอย่างอ่อนโยน หรือการใช้เลเซอร์คุณภาพสูงจากอเมริกา เช่น Spectra Q-Switch และ Pico Laser ที่สามารถลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทุกขั้นตอนดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เราเลือกใช้ตัวยาที่ผ่านการรับรองจาก อย. ไม่มีสารอันตราย ไม่มีสเตียรอยด์ ไม่ใช้ตัวยาสลายฟิลเลอร์ที่อาจทำลายคอลลาเจนในผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวอย่างปลอดภัยและยั่งยืน
หากคุณมีปัญหาฝ้าหรืออยากปรึกษาแนวทางการดูแลผิว สามารถติดต่อสอบถามหรือเข้ามาพบแพทย์ที่ De Queens Clinic ทั้ง 2 สาขาได้