
ปัญหาริ้วรอยสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ผิวของเราจะค่อยๆ สูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ ส่งผลให้ความชุ่มชื้นของผิวลดลง ผิวเริ่มแห้งและขาดความยืดหยุ่น ทำให้ริ้วรอยปรากฏได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยเล็กๆ รอบดวงตา รอยตีนกา หรือรอยย่นที่หน้าผาก หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ริ้วรอยเหล่านี้จะยิ่งลึกและเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
สำหรับผู้ที่ต้องการคงความอ่อนเยาว์และมีผิวที่ดูเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ ปัจจุบันมีหลายวิธีที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ดี และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย หนึ่งในนั้นคือการฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งถือเป็นหัตถการที่ใช้เวลาสั้น ไม่ต้องพักฟื้น ช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งริ้วรอยก่อนวัย รอยระหว่างคิ้ว หรือริ้วรอยรอบหางตาให้กลับมาเรียบตึง ดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
และในบทความนี้ นอกจากจะพูดถึงโบท็อกซ์แล้ว ดิฉันยังจะแนะนำหัตถการอื่นๆ ที่ช่วยดูแลผิวเพื่อลดเลือนริ้วรอย คืนความสดชื่นและความเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้าได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน
ริ้วรอย คืออะไร
ริ้วรอย เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่หลายคนต้องเผชิญเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยมักเริ่มสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป หากสังเกตใกล้ๆ จะเริ่มเห็นเส้นริ้วบางๆ ในจุดที่มีการขยับของกล้ามเนื้อบ่อย เช่น รอยย่นระหว่างคิ้ว รอยยิ้ม หรือรอยตีนกา ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ เส้นริ้วเล็กๆ เหล่านี้ก็อาจพัฒนาเป็นร่องลึกที่เห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตามวัย
เมื่ออายุมากขึ้น กลไกการทำงานของผิวจะช้าลง เซลล์ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้น้อยลง การสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินก็ลดลงตามไปด้วย ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ดูแห้งกร้าน ขาดความกระชับ จนริ้วรอยเกิดง่ายขึ้นและอาจนำไปสู่ปัญหาผิวหย่อนคล้อยในที่สุด
สาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า
- อายุที่มากขึ้น เมื่อก้าวเข้าสู่วัยที่ร่างกายผลิตคอลลาเจน อีลาสติน และกรดไฮยาลูโรนิกได้น้อยลง โครงสร้างผิวก็เริ่มอ่อนแอ ความชุ่มชื้นลดลง ผิวจึงสูญเสียความแน่นกระชับ และเกิดรอยย่นที่เห็นได้ชัดขึ้น
- การแสดงสีหน้าซ้ำๆ การยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว หรือแม้แต่การขยี้ตาบ่อยๆ ล้วนทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าเคลื่อนไหวซ้ำในจุดเดิม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยในบริเวณร่องแก้ม รอยย่นหน้าผาก และระหว่างคิ้วเร็วกว่าที่ควร
ริ้วรอยมีกี่ประเภท
ริ้วรอยบนใบหน้าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
- ริ้วรอยตื้น (Fine Lines) มักเกิดจากผิวขาดความชุ่มชื้นหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้ผิวแห้ง เช่น อยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ทำให้ผิวด้านบนเกิดเส้นริ้วเล็กๆ เห็นได้เวลาส่องกระจกใกล้ๆ
- ริ้วรอยลึก (Deep Wrinkles) เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าที่หดเกร็งซ้ำๆ ดึงผิวหนังให้ย่นจนกลายเป็นร่องลึก พบได้มากในคนที่แสดงสีหน้าเยอะ หรือมีผิวที่ขาดการบำรุง ทำให้เห็นรอยเด่นชัดขึ้น
ริ้วรอยไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนอายุมากเท่านั้น แต่เริ่มก่อตัวตั้งแต่อายุยังน้อยได้ หากมีพฤติกรรมที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหน้าเคลื่อนไหวซ้ำๆ หรือผิวไม่ได้รับการบำรุงที่เพียงพอ การรู้จักสาเหตุและประเภทของริ้วรอยจะช่วยให้เราวางแผนดูแลผิวได้ตรงจุดและป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยลึกในอนาคต
ปัจจัยที่ไปกระตุ้นให้ริ้วรอยลึกขึ้น
นอกจากสาเหตุพื้นฐานแล้ว ยังมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างที่เร่งให้ริ้วรอยเกิดขึ้นเร็วและลึกมากกว่าปกติ เช่น
- แสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดเป็นสาเหตุหลักที่ทำลายโครงสร้างผิว ทำให้คอลลาเจนในผิวหนังเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ผิวบางลง และเกิดริ้วรอยได้ง่าย นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
- แอลกอฮอล์และบุหรี่ สารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ จะไปทำลายโครงสร้างของผิวโดยตรง ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย คอลลาเจนถูกทำลายอย่างรวดเร็ว ทำให้ริ้วรอยเกิดง่ายและชัดเจนขึ้น
- ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น การดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม เช่น การล้างหน้าบ่อยครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ที่แรงเกินไป การสครับผิวบ่อยเกิน หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับผิว จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ทำให้ผิวแห้งกร้านและเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่า
- การนอนหลับไม่เพียงพอ การพักผ่อนที่ไม่เต็มที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมผิวได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวหน้าหมองคล้ำและขาดความกระชับ เมื่อพักผ่อนน้อยหรือมีนิสัยนอนดึกเป็นประจำ ผิวจะสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถป้องกันและดูแลผิวได้อย่างถูกต้อง เพื่อรักษาผิวให้ดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีได้นานขึ้น
ตำแหน่งริ้วรอยบนใบหน้าที่พบได้บ่อย
- ริ้วรอยรอบดวงตา บริเวณใต้ตาและหางตา หรือที่เรียกกันว่า ‘ตีนกา’ เป็นจุดที่เห็นได้ชัดเพราะผิวตรงนี้ค่อนข้างบอบบาง ริ้วรอยจะเริ่มจากเส้นบางๆ เล็กน้อย และถ้าไม่ได้รับการดูแลก็จะค่อยๆ ลึกขึ้นตามเวลา
- ริ้วรอยบนหน้าผาก บริเวณหน้าผากและหว่างคิ้วเป็นพื้นที่ที่เกิดริ้วรอยได้ง่ายจากการแสดงสีหน้าบ่อยๆ เช่น การขมวดคิ้วหรือย่นหน้า อีกทั้งยังได้รับแสงแดดโดยตรง หากไม่ได้ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ริ้วรอยในบริเวณนี้จะเกิดเร็วขึ้น
- ริ้วรอยร่องแก้ม บริเวณนี้มักเกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเวลายิ้ม หรือเกิดจากผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย ริ้วรอยมักจะปรากฏเป็นเส้นลึกยาวจากปีกจมูกลงมายังมุมปาก
- ริ้วรอยระหว่างคิ้ว เป็นริ้วรอยที่สังเกตเห็นได้ง่ายเพราะอยู่ตรงกลางใบหน้า มักเกิดจากการขมวดคิ้วบ่อยๆ ทำให้ร่องรอยเหล่านี้ชัดเจนขึ้นตามกาลเวลา
- ริ้วรอยที่คอ นอกจากใบหน้าแล้ว บริเวณคอก็เป็นอีกจุดที่เกิดริ้วรอยได้บ่อย เนื่องจากผิวบริเวณนี้มีความยืดหยุ่นและความหนาแน่นลดลงตามอายุ
การรู้จักตำแหน่งและลักษณะของริ้วรอยเหล่านี้ จะช่วยให้เราสามารถเลือกวิธีดูแลและป้องกันได้อย่างเหมาะสม เพื่อรักษาผิวให้ดูอ่อนเยาว์ได้อย่างยาวนาน
วิธีลดริ้วรอยบนใบหน้า มีอะไรบ้าง
วิธีลดริ้วรอยบนใบหน้ามีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของปัญหา ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมและให้ผลดี มีดังนี้
- ทรีตเมนต์เพื่อกระชับผิว
- การทำทรีตเมนต์หน้าเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น การใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency therapy) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้น ริ้วรอยจางลง และผิวหน้ากระชับขึ้น
- การนวดหน้า
- การนวดหน้าช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในผิวหนัง ซึ่งส่งผลให้ผิวดูเปล่งปลั่งและสุขภาพดีขึ้น โดยการนวดอย่างสม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีต่อวัน สามารถช่วยลดการเกิดริ้วรอยได้ แต่ต้องนวดด้วยวิธีที่ถูกต้อง และควรศึกษาเทคนิคจากแหล่งที่เชื่อถือได้
- การใช้สับปะรดเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลผิว
- น้ำสับปะรดสดมีวิตามินซีและเอนไซม์ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว แม้จะช่วยลดจุดด่างดำและริ้วรอยตื้นๆ ได้บ้าง แต่สำหรับริ้วรอยลึก อาจไม่เห็นผลชัดเจน นอกจากนี้ควรระวังเพราะสับปะรดอาจทำให้ผิวระคายเคือง โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม
- การเลือกใช้ครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมอย่าง AHA วิตามินเอ โคเอนไซม์คิวเทน วิตามินซี หรือกรดไฮยาลูรอน ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยดูจางลงและชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ แต่การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
- การรักษาด้วยเลเซอร์
- เทคโนโลยีเลเซอร์ เช่น Nd:YAG Fractional laser หรือ IPL ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ริ้วรอยและจุดด่างดำบนใบหน้าดูจางลง วิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างรวดเร็ว แต่ต้องระวังเรื่องความเจ็บและการฟื้นตัว อาจต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดและใช้เวลาพักฟื้นในช่วงแรก และควรทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น
- การฉีดโบท็อกซ์ (Botox)
- โบท็อกซ์เป็นวิธียอดนิยมในการลดริ้วรอยและปรับรูปหน้า โดยการฉีดสารโบทูลินั่มท็อกซินจะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ทำให้เกิดริ้วรอย เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก และหว่างคิ้ว ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นและใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ด้วยคุณสมบัติของโบท็อกซ์ สามารถลดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดี หลังฉีดตัวยาจะเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท ส่งผลให้มัดกล้ามเนื้อทำงานน้อยลง เวลาขยับใบหน้าในจุดนั้นผิวก็จะไม่มีการพับ จึงช่วยลบรอยตีนกาและลดริ้วรอยใต้ตาได้ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยกระชับรูขุมขนได้ด้วย หลังฉีดโบท็อกซ์จะเริ่มเห็นผลใน 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 4-5 เดือน แล้วแต่รุ่นของโบท็อกซ์ที่ใช้ฉีด
- โปรแกรม Cell Booster (ฟิลเลอร์)
- นอกจากริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้าที่สามารถใช้โบท็อกซ์และไฮฟู่ช่วยได้แล้ว ยังมีริ้วรอยที่เป็นร่องลึก เช่น ริ้วรอยร่องแก้ม ริ้วรอยร่องมุมปาก ร่องลึกใต้ตา ปัญหาเหล่านี้จะต้องใช้ Cell Booster หรือสารเติมเต็มกลุ่ม Hyaluronic Acid เข้ามาช่วยเติมเต็ม เพราะการดูแลด้วยโบท็อกซ์หรือ Hifu อาจไม่เพียงพอ
- เมโสหน้าใส (Meso Therapy)
- เมโสหน้าใสคือการฉีดวิตามินและสารอาหารบำรุงผิวลงไปในชั้นผิวโดยตรง ทำให้สารสำคัญออกฤทธิ์ได้รวดเร็วกว่าการทาครีมหรือเซรั่ม หลังฉีดประมาณ 1 สัปดาห์ ผิวจะเริ่มดูสดใสขึ้น ชุ่มชื้นขึ้น และสุขภาพผิวโดยรวมก็ดีขึ้นด้วย การฉีดเมโสหน้าใสยังช่วยเติมความยืดหยุ่นให้ผิว ลดการอักเสบของสิว ฟื้นฟูผิวที่อ่อนล้า และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- Ultra 4D Lift ยกกระชับผิว
- เทคโนโลยี Ultra 4D Lift (HIFU) เป็นการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องใช้เข็มและไม่ต้องพักฟื้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไม่อยากฉีดหรือกลัวการใช้เข็ม เพราะใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวด์ยิงเข้าสู่ชั้นผิวในระดับลึก เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ วิธีนี้ช่วยให้ผิวยกกระชับขึ้น ลดความหย่อนคล้อย รวมถึงช่วยให้รูขุมขนเล็กลงและผิวเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- สำหรับคนไข้ที่ต้องการเห็นผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แนะนำให้ทำ Ultra 4D Lift ควบคู่กับการฉีดโบท็อกซ์ เพราะโบท็อกซ์จะช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าได้ตรงจุด ส่วน Ultra 4D Lift จะช่วยเสริมความกระชับและฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น
ข้อควรทราบ ก่อนที่จะเข้ารับบริการไม่ว่าจะเป็นโบท็อกซ์ Ultra 4D Lift (Hifu) หรือ Cell Booster เพื่อลดริ้วรอย ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ของแท้และฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง
วิธีดูแลตัวเองเพื่อลดโอกาสเกิดริ้วรอยบนใบหน้า
การป้องกันริ้วรอยสามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ด้วยวิธีง่ายๆ ที่ทำเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้ผิวแข็งแรงและคงความอ่อนเยาว์ได้นานขึ้น
- เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำร้ายผิว ไม่ว่าจะเป็นการนอนดึก เครียดสะสม สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวได้รับออกซิเจนและสารอาหารเต็มที่
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ และอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี และอี รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อเติมความชุ่มชื้นจากภายใน
- เสริมด้วยวิตามินและอาหารเสริม (หากจำเป็น) เช่น วิตามินซี วิตามินอี สังกะสี (Zinc) คอลลาเจน สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed) หรือโคเอนไซม์ คิวเทน
- ทาครีมกันแดดทุกวัน เพราะรังสี UV ในแสงแดดเป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำลายคอลลาเจนในผิว ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน แม้จะอยู่ในบ้าน
หากใครที่ยังมีคำถามหรืออยากพูดคุยกับคุณหมอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผิวหรือการทำหัตถการต่างๆ สามารถทักมาปรึกษากับเราได้ ยินดีให้คำแนะนำอย่างละเอียด และถ้าต้องการสอบถามข้อมูลก่อนตัดสินใจ ก็สามารถติดต่อเราได้ที่ Line: @dequeensclinic พร้อมให้บริการทั้ง 2 สาขา