
บอกลาเส้นเลือดขอด
7 ความจริงเกี่ยวกับเส้นเลือดขอดอย่าชะล่าใจอาการเส้นเลือดขอดอันตรายกว่าที่คิด อาการเส้นเลือดขอดมักถูกจัดลำดับความสำคัญให้เป็นปัญหาเล็ก ๆ ของหลายคน จนกลายเป็นความชะล่าใจ มองข้ามอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านไปวันแล้ววันเล่า โดยไม่รู้เลยว่าสามารถขยายผลกลายเป็นปัญหาใหญ่โต เนื่องจากอาการเส้นเลือดขอดสามารถลุกลามเป็นแผลเรื้อรังได้เลยทีเดียว
7 เรื่องจริงเกี่ยวกับเส้นเลือดขอด
1. เส้นเลือดขอดไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการทายาหรือครีมภายนอก
ต้องตรวจวินิจฉัยโรคที่มีการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ชนิดพิเศษสำหรับหลอดเลือด (Duplex Ultrasound) เพื่อประเมินหาสาเหตุแอบแฝง มิฉะนั้นอาจกลับมาเป็นซ้ำหลังจากรักษาไปแล้ว
2. เส้นเลือดขอดเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย
แต่ที่พบเยอะที่สุดคือบริเวณขา โดยคนที่น้ำหนักตัวมาก ๆ มีโอกาสเกิดเส้นเลือดขอดได้มากกว่า รวมถึงผู้หญิงตั้งครรภ์ด้วย ซึ่งจากตัวเลขคนไข้ที่มารักษา ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย แต่ผู้ชายมักจะมาพบแพทย์ด้วยอาการรุนแรงกว่า ส่วนใหญ่คนไข้ผู้ชายเมื่อมาพบแพทย์เพื่อรักษามักจะมีเส้นเลือดขอดแบบเป็นตัวหนอน ไม่ก็เป็นแผลเส้นเลือดขอดอักเสบแล้ว
3. ใครที่แต่ละวันทำงานต้องยืนนาน ๆ นั่งนาน ๆ มีโอกาสเสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดมาก
เช่น ครู แอร์โฮสเตส พยาบาล หรือแม้แต่สาวออฟฟิศที่นั่งทำงานจดจ่อหน้าคอมพิวเตอร์ โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ เพราะปริมาณของเลือดสูงขึ้น ทำให้เกิดการตึงของหลอดเลือด บวกกับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง
4. โรคเส้นเลือดขอดป้องกันได้
อย่ายืนหรือนั่งเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ อีกทั้งหมั่นออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เพื่อบีบตัวให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น อย่าปล่อยให้ตัวเองอ้วนหรือน้ำหนักมากเกินไป สวมเสื้อผ้าใส่สบายไม่รัดจนเกินไป ผู้หญิงไม่ควรใส่ส้นสูงเป็นเวลานานหรือใส่จนเป็นประจำ ควรพักขาบ้าง
5. สัญญาณเตือนสุ่มเสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอด เริ่มจากปวดตึง รู้สีกหนัก ๆ หน่วงบริเวณขา รวมถึงเริ่มมีอาการบวมที่ขาส่วนล่าง
ควรไปพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอกระทั่งอาการลุกลามมากขึ้น เพราะยิ่งพบแพทย์เร็วก็ยิ่งรักษาให้หายได้เร็ว สำหรับคนไข้ที่มีเส้นเลือดขอด ปกติแพทย์จะไม่รักษาในทันที ต้องทำการตรวจลิ่มเลือดในส่วนลึกของหลอดเลือดดำ ตรวจดูวาล์วหรือลิ้นเปิด – ปิดของหลอดเลือดดำหาจุดที่เสียหรือพังเพื่อทำการรักษาต่อไป
6. ระดับความรุนแรงของเส้นเลือดขอด
มีให้เห็นตั้งแต่เส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ (Spider Vein) รวมถึงเห็นหลอดเลือดโป่งพองลักษณะคดเคี้ยวคล้ายตัวหนอน สีผิวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้น ผิวหนังแห้งแข็งไปจนถึงการอักเสบเป็นแผล
7. การรักษาในปัจจุบันขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงที่เกิดขึ้น
โดยแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม ได้แก่
- รักษาแบบประคับประคองสำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง ด้วยการใส่ถุงน่องการแพทย์ชนิดพิเศษ
- การฉีดยาที่เส้นเลือดขอดในผู้ป่วยที่เส้นขอดขนาดเล็ก ใช้เวลา 15 – 30 นาที
- ใช้เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radio Frequency) ด้วยการใส่สายขนาดเล็กเข้าไปในหลอดเลือดดำแล้วใช้พลังงานจากเลเซอร์หรือคลื่นวิทยุความถี่สูงเข้าไปทำให้เส้นเลือดขอดฝ่อ ใช้เวลาประมาณ 30 – 45 นาที แผลมีขนาดเล็กประมาณ 0.5 เซนติเมตร หลังทำจะพันขาด้วย Elastic Bandage จากนั้นแนะนำให้ใส่ถุงน่องการแพทย์ที่มีระดับในการรัดกล้ามเนื้อ เพื่อป้องกันอาการเส้นเลือดขอดต่อไป
- วิธีผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดขอดขนาดใหญ่ ต้องประเมินความพร้อมของร่างกายก่อนผ่าตัด ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง โดยดึงเส้นขอดออกมาเพื่อตัดทิ้ง แผลมีขนาดเล็กประมาณ 0.1 – 0.2 เซนติเมตรตามแนวเส้นเลือดขอด หลังผ่าตัดจะพันขาด้วย Elastic Bandage เช่นกัน และแนะนำให้ใส่ถุงน่องการแพทย์ชนิดพิเศษเพื่อป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอดต่อไป
หมดกังวลกับปัญหาเส้นเลือดขอด สนใจปรึกษารักษาเส้นเลือดขอด หรือประเมินอาการได้ที่ De Queens Clinic มีแพทย์เฉพาะทางด้านการฉีดสลายเส้นเลือดขอด รักษาเส้นเลือดขอดชลบุรี หรือรักษาเส้นเลือดขอดเพชรบุรี เดอควีนส์ คลินิกเสริมความงามเพชรบุรี เลือกสาขาที่ท่านสะดวกรักบริการได้เลยค่ะ
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ท่านสามารถเข้ามาขอคำปรึกษาเรื่อง เส้นเลือดขอด กับทีมแพทย์ “คลินิกศัลยกรรมชลบุรี De Queens Clinic” เพื่อทราบวิธีที่เหมาะกับตัวของท่าน ยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line : @dequeensclinic
ไม่เจอแสงแดดบ่อย แต่ทำไมยังเป็นฝ้า กระ?
แม้ไม่ได้ตากแดดโดยตรง แต่เรายังสามารถได้รับรังสี UV ได้จาก
- Indirect UV รังสี UV สามารถสะท้อนจากพื้นผิวต่างๆ เช่น ก้อนเมฆ, อาคาร, พื้นถนน, ผิวน้ำ มากระทบผิวเราได้ แม้ในวันที่ฟ้าครึ้ม หรืออยู่ในที่ร่มแต่ยังมองเห็นท้องฟ้า ก็ยังมีความเสี่ยงได้รับรังสี UV
- การทะลุผ่านกระจก รังสี UVA สามารถทะลุผ่านกระจกหน้าต่างได้ การนั่งทำงานริมหน้าต่าง หรืออยู่ในอาคารที่มีกระจกใส ก็ยังสัมผัสกับ UVA ได้
หน้าเป็นฝ้า กระ ทั้งที่แทบไม่ได้ออกไปไหน เพราะอะไร?
นอกจากรังสี UV จากแสงแดด (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่กระตุ้นการเกิดฝ้า กระได้ แม้จะอยู่ในอาคารเป็นส่วนใหญ่
- แสงสีฟ้าจากหน้าจอ (Blue Light) หรือ High Energy Visible Light (HEVL) เป็นแสงที่มองเห็นได้ มีความยาวคลื่นประมาณ 400-500 นาโนเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับ UVA แหล่งกำเนิดมีทั้งจากธรรมชาติ (ดวงอาทิตย์) และจากอุปกรณ์ที่เราใช้เป็นประจำ เช่น สมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต, โทรทัศน์
- ทำไมแสงสีฟ้าถึงทำให้เกิดฝ้า กระ? มีงานวิจัยชี้ว่าการสัมผัสแสงสีฟ้าเป็นเวลานาน สามารถทะลุเข้าสู่ผิวหนังได้ลึก และอาจกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน รวมถึงกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำ และฝ้าได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวเข้ม หรือมีแนวโน้มเป็นฝ้าง่ายอยู่แล้ว - หลอดไฟบางชนิด หลอดไฟบางประเภท โดยเฉพาะหลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือหลอดไฟที่ให้ความร้อนสูง อาจปล่อยรังสี UVA ออกมาในปริมาณเล็กน้อย หรือปล่อยความร้อน ซึ่งความร้อนก็เป็นอีกปัจจัยที่สามารถกระตุ้นการสร้างเมลานินได้เช่นกัน การสัมผัสเป็นประจำ แม้ปริมาณรังสีจะไม่เท่าแสงแดด แต่ก็อาจเป็นปัจจัยเสริมได้ ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า “ไม่เจอแสงแดด ไม่ต้องทาครีมกันแดด” จึงไม่ถูกต้องนัก เพราะเรายังเผชิญกับแสงสีฟ้าและความร้อนจากหลอดไฟได้ตลอดวัน การทาครีมกันแดดที่ปกป้องได้ทั้ง UVA, UVB และอาจรวมถึง Blue Light จึงยังคงจำเป็น
ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เป็นฝ้า กระ นอกเหนือจากแสง
- พันธุกรรม หากพ่อแม่หรือคนในครอบครัวมีประวัติเป็นฝ้า กระ ก็มีแนวโน้มที่เราจะเป็นได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในคนเอเชีย และกระบางชนิดอาจพบได้ตั้งแต่เด็ก ฝ้าหรือกระที่เกิดจากพันธุกรรมมักกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายแม้รักษาจนจางลงแล้ว
-
ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน) มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ มักพบใน:
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ (เรียกว่า Chloasma หรือ "หน้ากากแห่งการตั้งครรภ์")
- ผู้ที่ทานยาคุมกำเนิด หรือรับฮอร์โมนทดแทน
- ผู้ที่มีภาวะเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน อาจจางลงได้เองหลังคลอด หรือเมื่อหยุดยาคุม หรือเมื่อระดับฮอร์โมนกลับสู่สมดุล - ยาบางชนิด: ยาหลายชนิดทำให้ผิวไวต่อแสง (Photosensitivity) มากขึ้น ทำให้เกิดฝ้า กระ หรือจุดด่างดำได้ง่ายเมื่อสัมผัสแสง แม้เพียงเล็กน้อย ตัวอย่างยา เช่น ยากันชักบางชนิด, ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม (Tetracyclines, Sulfonamides), ยาขับปัสสาวะ, ยารักษาความดันบางชนิด, NSAIDs, เรตินอยด์ (ยากลุ่มวิตามินเอ), ยาต้านอาการทางจิตบางชนิด, ยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า เป็นต้น
-
เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
- สารประกอบบางชนิดในเครื่องสำอาง เช่น น้ำหอม, แอลกอฮอล์, สี อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ และตามมาด้วยรอยดำหรือกระตุ้นฝ้าได้ในบางคน
- ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีสารอันตราย เช่น ปรอท, สเตียรอยด์, ไฮโดรควิโนน (ในความเข้มข้นที่ไม่เหมาะสมและไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์) ซึ่งมักอวดอ้างว่าทำให้หน้าขาวใสเร็ว อาจทำลายผิวในระยะยาว ทำให้ผิวบางลง แพ้ง่าย ไวต่อแสง และเกิดฝ้าถาวร หรือรอยดำผิดปกติได้ เมื่อหยุดใช้อาจมีอาการเห่อ หรือเห็นเส้นเลือดฝอยชัดเจนขึ้น - ความเครียด เมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งนอกจากส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมแล้ว ยังสามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินให้เพิ่มมากขึ้นได้ ทำให้ฝ้าดูเข้มขึ้นหรือเกิดใหม่ได้
ปกป้องผิวจากปัญหาฝ้า กระ ด้วยวิธีไหนได้บ้าง?
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ สำคัญที่สุด! เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 หรือสูงกว่า และมี PA++++ เพื่อปกป้องผิวจากทั้งรังสี UVA และ UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกแดด หรือทำงานในอาคาร (อาจเลือกชนิดที่ป้องกัน Blue Light ได้ด้วย) ควรทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 15-30 นาที และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงหากอยู่กลางแจ้งหรือเหงื่อออกมาก
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 - 16.00 น. หากต้องออกแดด ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น สวมหมวกปีกกว้าง, แว่นกันแดด, เสื้อแขนยาว หรือกางร่ม
- ดูแลสุขภาพผิวให้แข็งแรง ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว เน้นการให้ความชุ่มชื้นและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว อาจปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยลดเลือนจุดด่างดำ หรือพิจารณาหัตถการที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- พิจารณาเรื่องยาและฮอร์โมน หากสงสัยว่ายาที่ใช้อยู่ หรือการคุมกำเนิด อาจเป็นสาเหตุของฝ้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนยาหรือวิธีการคุมกำเนิด (ห้ามหยุดยาเอง)
- พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ลดการใช้หน้าจอก่อนนอน
- จัดการความเครียด หากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกาย, ฟังเพลง, ทำสมาธิ หรือพักผ่อนหย่อนใจ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้หลากสี ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง (เช่น วิตามินซี, วิตามินอี) และดื่มน้ำให้เพียงพอ
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางหรือครีมบำรุงที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีส่วนผสมที่อาจก่อการระคายเคือง ระวังผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงว่าขาวเร็วขาวไว
รักษาฝ้า กระ ที่ไหนดี?
- Pico Laser เลเซอร์ที่นิยมมากในการรักษาเม็ดสี สามารถทำลายเม็ดสีได้อย่างจำเพาะเจาะจง และกระตุ้นคอลลาเจน
- Q-Switched Laser เลเซอร์อีกชนิดที่ใช้รักษาเม็ดสีได้ดี
- หัตถการอื่นๆ เช่น การฉีดเมโสฝ้า (Mesotherapy), การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว หรือการใช้ยาทาภายใต้การดูแลของแพทย์
การเลือกวิธีรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินชนิดของฝ้า กระ และสภาพผิว เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและได้ผลดีที่สุด
หากไม่มั่นใจว่าจะเลือกคลินิกไหน ให้ เดอควีนส์ คลินิก ช่วยดูแลได้ค่ะ เรามีบริการด้านความงามที่หลากหลาย รวมถึงโปรแกรมการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Pico Laser ทีมแพทย์ของเรามีประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด
สำหรับใครที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และส่งภาพให้แพทย์ประเมินเบื้องต้นได้ที่ Line: @dequeensclinic หมอตอบเอง หรือสามารถเข้ารับบริการ Walk-in ได้ที่ เดอควีนส์ คลินิก ทั้ง 2 สาขา ได้แก่ คลินิกความงามชลบุรี และคลินิกความงามเพชรบุรี